Backกลับ

Forex Range Trading คืออะไร? กลยุทธ์ทำกำไรจากตลาด Sideway แบบมืออาชีพ

แนวทางสำหรับระดับสูง

Aurra Markets Editor

เผยแพร่เมื่อ 2025-08-04

อัปเดตเมื่อ 2025-12-03

1 อ่านใช้เวลา

People climbing a mountain

ในโลกของการเทรด Forex ราคามักไม่ได้เคลื่อนตัวอย่างมีแนวโน้มชัดเจนเสมอไป ความจริงแล้วตลาดจำนวนมากใช้เวลาส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway หรือ “แกว่งในกรอบราคา” ซึ่งเป็นจุดที่ กลยุทธ์ Range Trading แสดงประสิทธิภาพได้ดีที่สุด

Range Trading คือการระบุระดับราคาที่คู่สกุลเงินดีดตัวซ้ำไปมาระหว่างแนวรับและแนวต้าน ทำให้นักเทรดสามารถใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวที่คาดการณ์ได้

คู่มือนี้จะอธิบายวิธีการระบุ ตลาดแบบ Range-Bound, เทคนิคการเทรดภายในกรอบ และการเตรียมพร้อมรับมือเมื่อตลาดมีโอกาสเกิดการ Breakout


วิธีระบุ “ตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบ” (Range-Bound Market)

ก่อนจะเริ่มใช้กลยุทธ์ Range-Bound Market นักเทรดต้องรู้ก่อนว่าตลาดอยู่ในสภาวะ Range จริงหรือไม่

โดยเราสามารถวิเคราะห์ลักษณะสำคัญของตลาดแบบ Range ได้ดังนี้:

  • ราคามีการเคารพแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจน (Horizontal Channel)
  • ไม่มีการทำ Higher Highs หรือ Lower Lows
  • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ค่อนข้างราบ ไม่มีความชันชัดเจน

เครื่องมือที่ช่วยยืนยันสภาวะนี้ได้ เช่น Bollinger Bands, RSI Divergence และการดู Price Action ช่วงเวลาที่ความผันผวนต่ำและเกิดการ Consolidation มักบ่งชี้โอกาสสำหรับการทำ Range Trading


เทคนิคการเทรดระหว่างแนวรับและแนวต้าน

เมื่อยืนยันได้ว่าตลาดอยู่ใน Range แล้ว กลยุทธ์พื้นฐานคือ ซื้อใกล้แนวรับและขายใกล้แนวต้าน:

  • เปิด Long ใกล้แนวรับ: รอการยืนยันจากแท่งเทียนกลับตัวขาขึ้น, RSI ในเขต Oversold หรือสัญญาณ Bullish Divergence
  • เปิด Short ใกล้แนวต้าน: มองหาสัญญาณแท่งเทียนกลับตัวขาลง, RSI อยู่ในเขต Overbought หรือปริมาณการซื้อขาย (Volume) ลดลง

ดังนั้นการควบคุมความเสี่ยงจึงสำคัญมาก โดยนักเทรดควรตั้ง Stop Loss ให้อยู่เลยกรอบแนวรับ/แนวต้านออกไปเล็กน้อย เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิด False Breakout และตั้ง Take Profit ใกล้ขอบฝั่งตรงข้ามของกรอบราคา


การเตรียมพร้อมรับมือ “Range Breakout”

ตลาดจะไม่แกว่งอยู่ในกรอบตลอดไป สุดท้ายราคาจะ ทะลุกรอบ (Breakout) และกลับเข้าสู่การมีแนวโน้ม (Trending Market)

วิธีเตรียมความพร้อม:

  • เฝ้าดู Volume ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือขนาดแท่งเทียนที่ขยายใหญ่ใกล้ขอบกรอบ
  • ติดตามเหตุการณ์พื้นฐาน (เช่น การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจ) ที่อาจสร้างความผันผวน
  • ใช้เครื่องมือยืนยันการ Breakout เช่น Average True Range (ATR) หรืออินดิเคเตอร์โมเมนตัม

คำเตือน:หากไม่จัดการอย่างระมัดระวัง การเทรดในกรอบอาจกลายเป็นการขาดทุนจาก Breakout ได้ง่ายนักลงทุนควรมี แผน Exit เผื่อกรณีที่ตลาดทะลุออกนอกกรอบอย่างชัดเจน


การคำนวณขนาดการเทรด (Position Sizing) ใน Range Trading

แม้ตลาดแบบ Range มักมีความผันผวนต่ำกว่า แต่การจัดการขนาดสถานะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของ Breakout:

  • ใช้ Stop Loss ที่แคบ เมื่อกรอบราคาถูกนิยามชัดเจน
  • ลดขนาดการเทรดเมื่อเข้าใกล้ช่วงที่คาดว่ามีข่าวแรงหรือความผันผวนสูง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ Leverage สูง ในโซน Consolidation เพราะ False Breakouts เกิดบ่อย

การกำหนดขนาดการเทรดให้สัมพันธ์กับ ความกว้างของกรอบราคา และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ช่วยควบคุมการขาดทุนและสร้างความสม่ำเสมอระยะยาว


เครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Range Trading

เครื่องมือทางเทคนิคที่นิยมใช้ในการทำ Range Trading ได้แก่:

  • Bollinger Bands: ระบุโซนที่ราคาบีบตัวและจุดดีดกลับ
  • RSI: ชี้สภาวะ Overbought/Oversold ภายในกรอบ
  • Pivot Points: ช่วยประเมินแนวรับแนวต้านระหว่างกลางกรอบ
  • Horizontal Trendlines/Rectangles: ใช้สร้างภาพชัดเจนของแนวรับและแนวต้าน

การผสานหลายเครื่องมือเข้าด้วยกันช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดสัญญาณหลอก


กลยุทธ์ Range Trading: วิธีใช้ให้ทำกำไรในตลาด Sideway

Range Trading เป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังสำหรับการทำกำไรจากตลาดที่เคลื่อนไหวแบบ Sideway
หากคุณสามารถวิเคราะห์ปัจจัยต่อไปนี้ได้ เช่น:

  • ระบุกรอบราคาที่ชัดเจน
  • ซื้อขายระหว่างแนวรับ/แนวต้านที่กำหนด
  • จัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย
  • เตรียมพร้อมสำหรับการ Breakout ได้ล่วงหน้า

จากปัจจัยข้างต้น จะช่วยให้คุณสามารถเทรดตลาดที่กำลัง Consolidate ได้อย่างมั่นใจ กลยุทธ์นี้ต้องใช้ความอดทนและวินัย แต่สามารถสร้างความสม่ำเสมอได้ในสภาวะที่กลยุทธ์ตามเทรนด์ (Trend Following) อาจไม่ทำงาน เมื่อดำเนินการอย่างรอบคอบ Range Trading อาจกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักของแผนการเทรดฟอเร็กซ์ที่สมบูรณ์


คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

1. จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นตลาด Range จริงหรือเป็นเพียงการ Consolidation ชั่วคราว?

ตลาด Range จริงจะมีลักษณะ:

  1. ราคาสะท้อนแนวรับและแนวต้านแนวนอนหลายครั้ง (อย่างน้อย 2–3 ครั้งที่แต่ละขอบ)
  2. ค่า ADX ต่ำกว่า 25 บ่งบอกว่าไม่มีแนวโน้ม
  3. เส้นค่าเฉลี่ยราบและมักไขว้กัน
  4. ราคากลับตัวซ้ำที่ระดับเดิมโดยไม่สร้าง Higher High หรือ Lower Low
  5. กรอบราคาดำเนินอยู่เป็นเวลานานพอสมควรต่อกรอบเวลาที่คุณใช้ (อย่างน้อย 20 แท่งเทียนในกราฟเทรด)

Consolidation ชั่วคราวมักจบลงเร็วกว่าและไม่มีการทดสอบขอบกรอบหลายครั้ง

2. Timeframe ไหนดีที่สุดสำหรับการเทรด Range ในฟอเร็กซ์?

กราฟ 4 ชั่วโมง (H4) ถือเป็น Timeframe ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำ Range Trading เนื่องจากให้มุมมองที่ชัดเจนต่อแนวรับและแนวต้านสำคัญ พร้อมช่วยลดสัญญาณรบกวนจากกราฟระยะสั้น เมื่อตรวจพบกรอบราคาใน H4 ควรใช้กราฟรายวันเพื่อยืนยันโครงสร้างตลาดขนาดใหญ่ และสามารถซูมลงไปที่กราฟ 1 ชั่วโมงหรือ 30 นาทีเพื่อหาจุดเข้าออกที่แม่นยำมากขึ้น ขณะที่ Timeframe สั้นมากอย่าง 5 นาทีหรือ 1 นาทีมักสร้างสัญญาณหลอกจำนวนมากและไม่เหมาะสำหรับการระบุกรอบราคาอย่างมีประสิทธิภาพ

3. คู่สกุลเงินไหนเหมาะกับ Range Trading ที่สุด?

คู่ที่มีความผันผวนต่ำและมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสูงมักสร้าง Range ได้ดี เช่น:

EUR/CHF, USD/CHF, EUR/GBP

คู่ Cross เช่น AUD/NZD และ EUR/GBP

นอกจากนี้ นักเทรดควรหลีกเลี่ยงคู่ที่ผันผวนสูงอย่าง GBP/JPY หรือ AUD/JPY เพราะมีแนวโน้ม Breakout บ่อย และเลือกคู่ที่มี Average Daily Range (ADR) ระดับปานกลาง (ประมาณ 50–80 pips) อีกทั้งควรตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจเสมอ เพราะข่าวใหญ่สามารถทำให้คู่ที่ปกติแกว่งในกรอบหลุดออกไป

4. อินดิเคเตอร์ไหนเหมาะกับ Range Trading มากที่สุด?

อินดิเคเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะกับ Range Trading ได้แก่:

  1. Bollinger Bands (20-period, 2.0 SD): ราคาที่แตะขอบนอกมักเป็นสัญญาณการกลับตัวในกรอบ
  2. RSI (14) ระดับ 70/30: ใช้หาจุด Overbought/Oversold ที่ตรงกับขอบกรอบ
  3. Stochastic Oscillator (14,3,3): สำหรับจับจังหวะกลับตัวที่ปลายกรอบ
  4. ADX ต่ำกว่า 25: ยืนยันว่าตลาดอยู่ในสภาวะ Range
  5. การวิเคราะห์ Volume: ปริมาณที่ลดลงใกล้ขอบกรอบมักบอกถึงการดีดกลับ

การใช้เครื่องมืออย่างน้อย 2 ตัวร่วมกันให้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือกว่าการใช้เพียงตัวเดียว และ Pivot Points ยังช่วยระบุแนวรับ/แนวต้านย่อยภายในกรอบได้เช่นกัน

5. จะหลีกเลี่ยงการติดกับดัก False Breakout ได้อย่างไร?

  • รอให้ แท่งเทียนปิดนอกกรอบราคา ไม่ใช่แค่ไส้เทียน
  • ดูการยืนยันจาก Volume ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย
  • ใช้ระดับ Fibonacci 23.6% ของกรอบราคาเป็นเขต Buffer ก่อนวางคำสั่ง
  • ให้ความสำคัญกับ Breakout ที่เกิดในช่วงตลาดหลัก (London/NY Session)
  • ตรวจสอบโมเมนตัมผ่าน RSI ว่าเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับการ Breakout
  • ระวัง Breakout ที่เกิดโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ
  • ลดขนาดการเทรดเมื่อเข้าใกล้ขอบกรอบเพื่อจำกัดความเสียหายหากเกิด False Breakout
สารบัญ